การใช้คอมพิวเตอร์และซอต์ฟแวร์
1. ลิขสิทธิ์
ลิขสิทธิ์ หมายถึง สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น โดยการแสดงออกตามประเภทงานลิขสิทธิ์ต่าง ๆ
ลิขสิทธิเ ป็นผลงานที่เกิดจาการใช้สติปัญญา ความรู้ความสามารถและความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น "ทรัพย์สินทางปัญญา"ประเภทหนึ่งที่มีคุณค่าทางเศณษฐกิจ ดังนั้นเจ้าของผลงานทางลิขสิทธิ์จึงควรได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ลิขสิทธ์ เป็นทรัพย์สินประเภทที่สามารถ ซื้อ ขาย หรือโอนสิทธิกันได้ ทั้งทางมรดก หรือโดยวิธีอื่น ๆ การโอนลิขสิทธิ์ควรที่จะทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือทำเป็นสัญญาให้ชัดเจน จะโอนสิทธิทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนก็ได้
ลิขสิทธิ์คืออะไร
ลิขสิทธิ์เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง ลิขสิทธิ์หมายถึงสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น
ประเภทของงานสร้างสรรค์
งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์ ประกอบด้วยงานต่างๆ ดังนี้
1. งานทั่วไป ได้แก่
งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
งานนาฎกรรม เช่น งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ประกอบเป็นเรื่องเป็นราว การแสดงโดยวิธีใบ้
งานศิลปกรรม เช่น งานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ภาพพิมพ์ภาพประกอบแผนที่ โครงสร้าง ศิลปประยุกต์ ภาพถ่าย และแผนผัง ของงานดังกล่าว
งานดนตรีกรรม เช่น เนื้อร้อง ทำนอง โน๊ตเพลงที่ได้แยกแยะเรียบเรียงเสียงประสานแล้ว
งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วีดีโอเทป แผ่นเลเซอร์ดิสก์ เป็นต้น
งานภาพยนต์
งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นคอมแพคดิสก์
งานแพร่เสียงแพร่ภาพ
งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
2. งานสืบเนื่อง ได้แก่
งานดัดแปลง หมายถึง การทำซ้ำโดยเปลี่ยนรูปใหม่ ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
งานรวบรวม หรือประกอบเข้าด้วยกัน โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
สิ่งที่กฎหมายไม่คุ้มครอง
- สิ่งที่กฎหมายไม่คุ้มครอง ได้แก่
- แนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์
- ขั้นตอน กรรมวิธี ระบบ วิธีใช้ หรือการทำงาน
สิ่งที่ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์
- ผลงานดังต่อไปนี้เป็นผลงานที่ไม่ถือว่ามีลิขสิทธิ์
- ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร
- รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
- ประกาศ คำสั่ง ระเบียบ คำชี้แจง ของหน่วยงานรัฐหรือท้องถิน
- คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
- คำแปล และการรวบรวมสิ่งต่างๆ ข้างต้น ที่หน่วยงานของรัฐหรือท้องถิ่นจัดทำขึ้น
2. เวลาคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายสากล
ทุกสิ่งที่คิดขึ้นภายหลังวันที่ 1 มกราคม 1978(2521) โดยปกติจะคุ้มครองตลอดชีวิตของคนผู้นั้นและรวมถึงภายหลังการเสียชีวิตต่อไปอีก 70 ปี
งานที่ถูกเช่า (ลิขสิทธิ์ของบริษัท) ถือสิทธิ์ครอบครองได้เป็นเวลา 95 ปีนับจากการพิมพ์เผยแพร่ หรือเป็นเวลา 120 ปี จากการสร้างสรรค์ แล้วแต่จะใช้
3. อะไรที่ไม่ใช่ลิขสิทธิ์
1. งานที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับ
2. ความคิด,กระบวนความ,วิชา,ระบบ,การประมวลผล,ความคิดรวบยอด,หลักความจริง,สิ่งค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์,การจำแนกจากคำอธิบาย,คำอธิบาย,ตัวอย่างประกอบ
3. งานที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ตามปกติ และที่มีอยู่โดยไม่เป็นต้นฉบับของคนใดคนหนึ่ง เช่น ปฏิทินมาตรฐาน ที่วัดความสูง น้ำหนัก หรือเทปวัดความยาว
4. การเปรียบเทียบให้เห็นจริง,หรือพจนานุกรม เช่น สมุดโทรศัพท์
5. ผลิตภัณฑ์ของรัฐ(ยกเว้นบางรายการที่จัดทำดดยผู้รับเหมาทำงานให้รัฐ อาจมีการสงวนสิทธิ์)
6. ความจริง
4. อะไรคือการใช้ที่ถูกต้อง เป็นธรรม? (Fair Use)
มาตรา 107 เรื่องการใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“ขอบเขตที่นอกเหนือไปจากกรอบการใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
คือนอกเหนือไปจากบทบัญญัติของมาตรา 106 และ 106A การใช้อย่างถูกต้องของงานลิขสิทธิ์ ประกอบด้วยการใช้โดยการทำซ้ำ หรือการบันทึกเสียง หรือโดยผู้ใช้อื่น ๆนอกเหนือไปจากนี้ ได้แก่ เจตนาติชม , คำสอน, ทุนเล่าเรียน, งานวิจัย ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์” ทั้ง 4 ประการนั้นสามารถใช้ได้โดยไม่ละเมิดสิทธิ์เมื่อนำไปใช้อย่างถูกต้อง
5. การใช้งานอย่างถูกต้อง มีปัจจัยให้พิจารณาดังนี้
1. จุดประสงค์และสิ่งที่ผู้ใช้ปฏิบัติ รวมทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสำหรับการใช้ที่ไม่หวังผลกำไร เช่น โครงงานมัติมีเดีย เป็นโครงงานลิขสิทธิ์ อยู่ภายใต้การใช้อย่างถูกต้อง ใช้ได้ตลอดเวลา ถ้าใช้โดยไม่หวังกำไร หรือใช้เพื่อการศึกษา
2. งานลิขสิทธิ์ที่เหมือนจริง บางต้นฉบับเป็นสิ่งมีค่าอยู่ภายใต้ความคุ้มครอง เช่น ภาพถ่าย
3. จำนวนและหลักฐานแบ่งการใช้แล้ว ที่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์ ผลการพิจารณาของจำนวนและคุณภาพการใช้เฉพาะของสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
4. ผลลัพธ์ของการใช้ ของผู้ใช้ในตลาด หรือค่าของผลงานลิขสิทธิ์ ทำให้เกิดความเสียหายต่อการจำหน่ายในตลาดของงานนั้น ๆ .. พิจารณาว่าผู้ผลิตงานนั้นสูญเสียผลประโยชน์หรือไม่
6. คล้ายกับว่าจะเป็นการใช้อย่างถูกต้อง
1. สำเนาเพื่อใช้ในการศึกษา
2. งานต้นฉบับยังเป็นจริงไม่ถูกเปลี่ยนแปลง งานที่ไม่เอาอย่างใคร , และเป็นสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์เผยแพร่แล้ว
3. คุณตัดตอนมาเพื่อชี้ประเด็น แต่ไม่ทำให้เสียหาย
4. คุณไม่นำไปทำการค้ากำไร
… คุณไม่สำเนาหรือคัดลอกไปหากำไร ดังนั้นโรงเรียนของคุณต้องไม่มีการจำหน่ายผลงานนั้น ๆ (หรือวัตถุดิบต้นฉบับต่าง ๆ)
7. เหมือนจะทำถูก แต่ไม่ถูกต้องนัก
ดังนั้นระหว่าง 1992 - 1994 กลุ่มของสำนักพิมพ์และวงการศึกษา ได้รวมตัวทำข้อตกลงเพิ่มเติมเป็นแนวทางว่า ในวงการศึกษาจะไม่ใช้ของที่ละเมิดลิขสิทธิ์ เมื่อพวกเขามีความคิดในเรื่อง “FAIR USE”
8. บทความ
8.1 หมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ตกับความรับผิดทางแพ่ง
ผมเขียนเกี่ยวกับการหมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ตมาหลายเรื่องแล้วครับ แต่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทางอาญาทั้งสิ้น จริง ๆ แล้วถ้ามีคนมาหมิ่นประมาทเราทางอินเทอร์เน็ต นอกจากการไปฟ้องร้องเป็นคดีอาญา หรือการแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจแล้ว เราก็ยังมีช่องทางอีกช่องทางหนึ่งครับ
เพราะเราอาจจะไม่ต้องการให้คนทำผิดได้รับโทษอาญา แต่อยากจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่ง อันนี้ก็ทำได้เช่นกันทางกฎหมาย แต่เงื่อนแง่ทางกฎหมายอาจจะต้องต่างกันสักนิดครับ คือหมิ่นประมาททางแพ่งนั้นกฎหมายเขาหมายถึง การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริง (คือข้อความเท็จจริงเท่านั้นถึงจะผิดครับ ถ้าจริงก็ไม่ผิด ต่างกับทางอาญาที่หลักคือจริงหรือไม่จริงก็ผิดครับ เพียงแต่มีข้อยกเว้นให้พิสูจน์ความจริงได้ในบางกรณี) และการกล่าวหรือไขข่าวนั้นทำให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของบุคคลอื่นครับ ซึ่งแม้ว่าผู้ที่หมิ่นประมาทจะไม่รู้ว่าข้อความที่ตนกล่าวหรือไขข่าวนั้นไม่จริง แต่หากว่าควรจะรู้ได้ก็ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นครับ
คดีหมิ่นประมาทที่ผมสังเกตส่วนใหญ่เขาก็จะไปฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งกันครับ แล้วก็เรียกค่าเสียหายกันมากๆ นัยว่าเพื่อจะให้จำเลยเข็ดหลาบครับ ซึ่งถึงเรียกไปสูง ศาลไทยท่านก็จะลดลงมาโดยดูจากความเสียหายที่แท้จริงเท่านั้นครับ เพราแนวคิดของไทย การลงโทษให้จำเลยหลาบจำถือเป็นเรื่องของการดำเนินคดีอาญาครับ ส่วนประเทศอื่น ๆ เช่น อเมริกานั้น แม้ในคดีแพ่งเขาก็มีแนวคิดในเรื่อง “ค่าเสียหายในเชิงลงโทษ” (punitive damage) ด้วยครับ ซึ่งก็จะใช้กับคดีที่มีการฟ้องรัองบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก ศาลเขากำหนดค่าเสียหายให้กับฝ่ายโจทก์จนบริษัทเหล่านั้นบางบริษัทต้องล้มละลายไปเลยก็มีครับ ส่วนกรณีหมิ่นประมาทผมไม่แน่ใจว่าศาลอเมริกาเขาจะนำแนวคิดเรื่องค่าเสียหายในเชิงลงโทษมาใช้หรือไม่ แต่ยังไงผมก็มองว่าแนวทางของศาลไทยในเรื่องนี้น่ะถูกต้องแล้วครับ เสียหายเท่าใดก็ควรได้รับค่าเสียหายเพียงเท่านั้น
คดีแพ่งเรื่องหมิ่นประมาท ในประเทศไทยยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ เรื่องศาลที่จะฟ้องคดีครับ หลักในเรื่องนี้คือโจทก์ฟ้องคดีได้ที่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือศาลที่เป็น ที่เกิดของเหตุในการฟ้องคดีครับ ทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์มันส่งไปขายทั่วประเทศนี่ครับ ฝ่ายผู้เสียหาย ซึ่งมักเป็นนักการเมือง เขาก็ถือว่าความผิดเกิดขึ้นทั่วประเทศครับ ก็เลยตระเวนไปฟ้องตามศาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้จำเลยต้องตามไปแก้คดีครับ เรื่องหมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ตนี้ผมว่าอาจทำให้เกิดปัญหาอย่างเดียวกันตามมาก็ได้ เพราะข้อความหมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ตมันก็ไปเปิดดูได้ทั่วประเทศนี่ครับ ไปหมิ่นประมาทใครก็ควรเตรียมวิ่งรอกแก้คดีไว้ด้วยนะครับ
8.2 กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ : ลักษณะของการกระทำความผิด
พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2545 (ฉบับรวมหลักการของกฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกัน) ซึ่งมีผลใช้บังคับไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 ที่ผ่านมา
พูดถึงบ้านเมืองเรานี่ก็แปลกนะครับ กฎหมายบังคับใช้ก็ไม่ไปประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่านเยอะๆ แต่ไปประกาศในราชกิจนุเบกษา เชื่อไหมครับว่าเรื่องอะไรสำคัญๆ กฎหมายเอย กฎกระทรวงเอย กฎอะไรต่างๆนาๆที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ใครสร้างถนน สร้างสะพาน ย้ายใคร แต่งตั้งผู้ใครและเรื่องอื่นๆอีกมากมายก่ายกองก็จะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา และอะไรก็ตามเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว ก็จะถือว่าทุกคนได้ทราบแล้วโดยปริยายครับ จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เคยอ่านไม่ได้ ก็เหมือนเวลาเราโดนตำรวจจับนั่นแหละครับ เราจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นี่แหละครับความสำคัญของหนังสือที่ว่านี้ ลองหามาอ่านกันดูนะครับ
ลักษณะของการกระทำผิดหรือการก่อให้เกิดภยันตรายหรือความเสียหายอันเนื่องมาจากการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์นั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ จำแนกตามวัตถุหรือระบบที่ถูกกระทำ คือ
1. การกระทำต่อระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)
2. การกระทำต่อระบบข้อมูล (Information System)
3. การกระทำต่อระบบเครือข่ายซึ่งใช้ในการติดต่อสื่อสาร (Computer Network)
"ระบบคอมพิวเตอร์"
"ระบบคอมพิวเตอร์" หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรออิกส์หรือชุดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ
ซึ่งมีการตั้งโปรแกรมให้ทำหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ ดังนั้น "ระบคอมพิวเตอร์" จึงได้แก่ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประมูลผลข้อมูลดิจิทัล (Digital Data) อันประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral) ต่างๆ ในการเข้ารับหรือป้อนข้อมูล (Input) นำออกหรือแสดงผลข้อมูล (Output) และบันทึกหรือเก็บข้อมูล (Store and Record)
ดังนั้น ระบบคอมพิวเตอร์จึงอาจเป็นอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว หรือหลายเครื่องอันอาจมีลักษณะเป็นชุดเชื่อมต่อกัน ทั้งนี้ โดยอาจเชื่อมต่อกันผ่านระบบเครือข่าย และมีลักษณะการทำงานโดยอัตโนมัติตามโปรแกรมที่กำหนดไว้และไม่มีการแทรกแทรงโดยตรงจากมนุษย์ ส่วนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นจะหมายถึง ชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
"ระบบข้อมูล"
"ระบบข้อมูล" หมายถึง กระบวนการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับสร้าง ส่ง รับ เก็บรักษาหรือประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การให้ความหมายของคำว่า ระบบข้อมูล ตามความหมายข้างต้น เป็นการให้ความหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และหากเราพิจารณาความหมายตามกฎหมายดังกล่าวซึ่งตราขึ้นเพื่อรองรับผลทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นการรับรองข้อความที่อยู่บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้เท่าเทียมกับข้อความที่อยู่บนแผ่นกระดาษ จึงหมายความรวมถึง ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ โทรสาร เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยการคุกคามหรือก่อให้เกิดความเสียหาย คงจะไม่ใช่เพียงแต่กับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในความหมายดังกล่าวเท่านั้น เพราะการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์นั้น อาจเป็นการกระทำต่อข้อมูล ซึ่งไม่ได้สื่อความหมายถึงเรื่องราวต่างๆ ทำนองเดียวกับข้อความแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่เป็นรหัสผ่าน หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
กระนั้นก็ตาม แม้ข้อมูลจะมีลักษณะหลากหลาย แล้วแต่การสร้างและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน แต่ข้อมูลที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ ต้องมีลักษณะที่สำคัญร่วมกันประการหนึ่งคือ ต้องเป็น "ข้อมูลดิจิทัล (Digital Data)" เท่านั้น
ข้อมูลอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคํญอย่างมากต่อการรวบรวมพยานหลักฐานอันสำคัญยิ่งต่อการสืบสวน สอบสวนในคดีอาญา คือ ข้อมูลจราจร (Traffic Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่บันทึกวงจรการติดต่อสื่อสาร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทำให้ทราบถึงจำนวนปริมาณข้อมูลที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในแต่ละช่วงเวลา สำหรับข้อมูลต้นทางนั้น ได้แก่ หมายเลขโทรศัพท์ เลขที่อยู่ไอพี (Internet Protocol Address) หรือ IP Address นั่นเอง
ส่วนข้อมูลปลายทางนั้น ได้แก่ เลขที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Email Address) หรือที่อยู่เวบไซต์ (URL) ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแวะเข้าไปดูข้อมูล นอกจากข้อมูลต้นทางและปลายทางแล้ว ยังรวมถึงข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเวลาที่มีการติดต่อสื่อสารหรือการใช้บริการ เช่น การติดต่อในรูปของไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์ หรือการโอนแฟ้มข้อมูล เป็นต้น
"ระบบเครือข่าย"
ระบบเครือข่าย หมายความถึง การเชื่อมต่อเส้นทางการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นทอดๆ ซึ่งอาจเป็นระบบเครือข่ายแบบปิด คือ ให้บริการเชื่อมต่อเฉพาะสมาชิกเท่านั้น หรือระบบเครือข่ายแบบเปิด อันหมายถึง การเปิดกว้างให้ผู้ใดก็ได้ใช้บริการในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายหรือการติดต่อสื่อสาร เช่น อินเทอร์เน็ต เป็นต้น
คงพอจะทราบกันแล้ว ว่าลักษณะของการกระทำความผิดของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์นั้นมีอะไรบ้าง และอาจกระทำต่ออะไรได้บ้าง รวมทั้งความหมายของคำต่างๆที่ใช้ในกฎหมายดังกล่าว อาจจะดูวิชาการไปบ้าง แต่ก็เพื่อจะปูพื้นฐานให้มีความเข้าใจเมื่อกล่าวถึงในบทต่อๆไป
8.3 ทรัพย์สินทางปัญญาบน Internet
เป็นความจริงที่กว่าคนเราจะสร้างสรรค์งานอะไรที่ออกมาจากความคิดได้มันช่างยากเย็นและไม่ใช่เรื่องง่ายเอาซะเลย กว่าจะคิดได้ คิดแล้วคิดอีก แล้วมาวันหนึ่งพบว่าผลงานความคิดของตัวเองถูกนำไปใช้โดยผู้ไม่หวังดีซึ่งไม่คิดจะขออนุญาตและไม่เคยคิดจะจ่ายเงินให้เรา และกว่าจะรู้ตัวเค้าก็เอาผลงานความคิดของเราไปขายร่ำรวยกันถ้วนหน้า แล้วมาดูเราซึ่งเป็นเจ้าของกลับไม่ได้อะไรเลยจากการกระทำนั้น ถามว่าอย่างนี้เป็นการยุติธรรมและถูกต้องแล้วหรือ แล้วกฎหมายของบ้านเราพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร
กฎหมายลิขสิทธิ์ในประเทศของเราอาจจะมองว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่แท้จริงแล้วเรื่องดังกล่าวก็มิใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ของประเทศไทยก็มีแต่ก็ไม่ค่อยมีคนรู้ใช่ไหมครับโดยเฉพาะพวกเราที่ไม่ใช่นักกฎหมาย อย่าว่าแต่กฎหมายลิขสิทธิ์เลยแค่พูดถึงกฎหมายก็เริ่มมึนซะแล้ว
เริ่มต้นนะครับ เราจะมาดูกันก่อนว่าทรัพย์สินทางปัญญาที่เราพูดๆกันมันหมายถึงอะไรบ้าง อย่างไรที่เป็นและไม่เป็นทรัพย์สินทางปัญญา คำว่าทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. วัตถุที่มีรูปร่าง และ
2. วัตถุที่ไม่มีรูปร่าง
ทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันมักจะเป็นทรัพย์สินที่มีรูปร่างซึ่งตามกฎหมายแพ่งและพานิชย์ เรียกว่า "ทรัพย์" ส่วนทรัพย์สินทางปัญญานั้นเป็นทรัพย์สินที่วัตถุแห่งสิทธิเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ กล่าวคือ "ปัญญาความคิดของมนุษย์นั้นมีคุณค่าและสามารถถือเอาเป็นเจ้าของได้"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น